ลาแบกรูปปั้น

ลาแบกรูปปั้น

มีชายเจ้าของลาคนหนึ่งเขามีอาชีพขายยาสมุนไพร เขาเดินทางมาพร้อมลาของเขาซึ่งบนหลังของลานั้นมีถุงสมุนไพร พร้อมกันนั้นเขาได้มัดรูปปั้นรูปหนึ่งที่แกะสลักเป็นเทวรูปด้วยไม้หอมมีรูปร่างสวยงามซึ่งชายเจ้าของลาเชื่อว่า เทวรูปนี้ทำให้ตนค้าขายได้ดี

แนะนำตัวละคร
มีชายเจ้าของลาคนหนึ่งเขามีอาชีพขายยาสมุนไพร เขาเดินทางมาพร้อมลาของเขาซึ่งบนหลังของลานั้นมีถุงสมุนไพร พร้อมกันนั้นเขาได้มัดรูปปั้นรูปหนึ่งที่แกะสลักเป็นเทวรูปด้วยไม้หอมมีรูปร่างสวยงามซึ่งชายเจ้าของลาเชื่อว่า เทวรูปนี้ทำให้ตนค้าขายได้ดี
 เมื่อใดที่เขาเดินทางออกค้าขาย ผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ ผู้คนที่พบเห็นต่างก็เข้ามาซื้อสมุนไพร พร้อมกับก้มลงกราบเทวรูปบนหลังของเจ้าลานั้นด้วยความศรัทธา 
เจ้าของลาและเจ้าลาเดินทางผ่านมานานนับหลายเมืองก็เจอผู้คนก้มกราบเทวรูปบนหลังของลาและซื้อสมุนไพรจนเป็นเรื่องปกติ 
จนกระทั่งวันหนึ่ง ทั้งสองได้ผ่านมายังเมืองแห่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างจะแร้นแค้น  มีผู้คนที่มีแต่ขอทานเต็มไปหมดกลุ่มขอทานเหล่านั้นได้เข้ามาก้มกราบและลูบไปที่เท้าของเจ้าลา พร้อมกับพูดว่า
ขอทาน
ขอทาน

ท่านเทวดาแห่งลาและเทวรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ โปรดช่วยพวกขาด้วยเถอะ ช่วยดลบันดาล และประทานพรให้พวกข้าได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ด้วยเถิด


แล้วกลุ่มขอทานเหล่านั้นก็ก้มลงกราบพร้อมอ้อนวอนไม่หยุดทำให้ให้ลาเกิดความพยองในใจว่า 

ลา
ลา

นี่ผู้คนเขาไม่ได้ก้มลงกราบเฉพาะเทวรูปบนหลังของข้าเป็นแน่ แต่พวกเขาเชื่อว่าข้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เจ้าลาจึงไม่ยอมเดินต่อ ได้แต่ทำท่าชูคอและภูมิใจในตัวเองยิ่งนัก ทันใดนั้น เจ้าของลา ได้ฉุดให้เจ้าลาได้เดินต่อ  แต่มันก็ไม่ขยับตัวแต่อย่างใด
เจ้าของลา
เจ้าของลา

นี่ เจ้าลาโง่ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเทวรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออย่างไร คนเขาไม่ได้ก้มกราบตัวเจ้าหรอกนะเขาก้มกราบเทวรูปบนหลังเจ้าต่างหา

เจ้าของลา
เจ้าของลา

แล้วเจ้าขอทานพวกนี้ก็สติไม่ค่อยดีด้วย

แล้วเจ้าของลาก็ฟาดไปที่หลังของลาเต็มแรง เพื่อเรียกสติมันคืนมา เจ้าลารูปสึกเจ็บปวดยิ่งนัก และหันหลังมาค้อนเจ้าของเล็กน้อย ก่อนที่จะยอมเดินทางต่อไป
ม้า
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“"มันไม่ฉลาดที่จะอ้างความน่าเชื่อถือจากผลงานของคนอื่น"”

ในวันที่ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว มีชายนักเดินทางคนหนึ่ง ต้องการเดินทางไปยังอีกเมืองหนึ่ง เขาจึงได้ไปตะเวนหาเช่าลา เพื่อใช้สำหรับขนเสบียงและนั่งบนหลังของมัน ชายนักเดินทางได้พบกับเจ้าของลาที่ตามหา

มีชายนักเดินทางอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นคนที่ชอบพูดแต่ความจริง ส่วนอีกคนหนึ่งชอบพูดแต่คำโกหก พวกเขาเดินทางร่วมกันมาจนมาถึงดินแดนราชาลิงโดยบังเอิญ ที่เมืองของราชาลิงมีประเพณีอยู่ว่า หากมีคนมาเยือนที่เมืองแห่งราชาลิงแล้ว จะต้องนำคนเหล่านั้นมาเข้าเฝ้าท่ามกลางฝูงลิงข้าราชบริพารที่นั่งเรียงเป็นแถวเหมือนกับพวกมนุษย์ที่เข้าเฝ้าราชาของมนุษย์นั่นเองราชาลิงสั่งให้นำตัวชายทั้งสองมาพบ

ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเขามีอาชีพเป็นนายพรานเขาได้ออกล่าหาสัตว์เพื่อที่จะเป็นอาหารอยู่เป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งชายผู้นี้ได้จับนกกระทาได้เขาจึงได้นำมันไปเลี้ยงไว้ในเล้าของไก่ชนของตนเอง

มีฝูงหมาป่าหิวโซอยู่ฝูงหนึ่งพวกมันไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วพวกมันจึงตัดสินใจเดินไปที่แม่น้ำเพื่อที่จะดื่มน้ำหวังว่าการดื่มน้ำจะช่วยบรรเทาความหิวของพวกมันได้บ้าง แต่แล้วพวกมันก็ได้พบเข้ากับหนังสัตว์อย่างดีจำนวนหนึ่งที่จมอยู่ใต้ก้นแม่น้ำซึ่งคนฟอกหนังได้นำมาแช่เอาไว้ หนังสัตว์พวกนี้นับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศสำหรับหมาป่าที่กำลังหิวโซแต่ทว่าแม่น้ำบริเวณนั้นลึกเกินไปที่พวกมันจะเอื้อมลงไปถึงหนังสัตว์ได้ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้หมาป่าตัวหนึ่งในฝูงก็ได้เอ่ยขึ้นว่า

ณป่าใหญ่แห่งหนึ่งมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมายหลายชนิด หนึ่งในสัตว์ป่าก็มีลิงอยู่ตัวหนึ่งมันอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้วเจ้าลิงจะออกมาอยู่ในป่าตรงที่มีลำธารเพื่อจะเก็บผลไม้กินทุกวันทุกวันจนผลไม้ในป่าเริ่มจะหมดลง เจ้าลิงสังเกตเห็นว่ามีป่าใหญ่อีกที่อยู่ตรงกันข้ามกับป่าที่มันอาศัยอยู่มันมองเห็นว่าป่าฝั่งนั้นมีผลไม้มากมายหลายอย่างคงไม่ทำให้มันอยู่อย่างแร้นแค้นเหมือนที่นี่แน่นอน

ณ กระท่อมเล็กๆท้ายหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้มีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ครอบครัวนี้มีสมาชิกทั้งหมด 4 คนประกอบไปด้วย พ่อ ลูกชายคนโต ลูกชายคนกลาง และ ลูกชายคนเล็ก วันหนึ่งพ่อของพวกเขาได้ล้มป่วยลงอย่างกระทันหันและด้วยความชราของผู้เป็นบิดานั้นทำให้เขารับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าตนจะอยู่ดูแลลูกได้อีกไม่นานเขาเลยตัดสินใจที่จะเรียกลูกชายทั้งสามของเขามาอยู่รอบๆตัวของเขาเพื่อที่จะพูดสั่งเสียก่อนที่เขาจะจากไปหลังจากที่ลูกชายทั้งสามของเขามาครบแล้วผู้เป็นพ่อก็ไม่รีรอที่จะเอ่ยกับลูกชายทั้งสามของเขาว่า

กาตัวหนึ่งไม่ชอบใจขนสีดำของตัวเอง เพราะมันมักจะถูกล้อว่าเป็นกาดำ น่าอัปลักษณ์ มันจึงอยากจะมีขนที่งดงามเช่นเดียวกับนกยูงที่ถูกคนอื่นชื่นชมอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่นกยูงรำแพนขน ช่างเป็นอะไรที่งดงามเสียจริง