กากับนกยูง

กากับนกยูง

กาตัวหนึ่งไม่ชอบใจขนสีดำของตัวเอง เพราะมันมักจะถูกล้อว่าเป็นกาดำ น่าอัปลักษณ์ มันจึงอยากจะมีขนที่งดงามเช่นเดียวกับนกยูงที่ถูกคนอื่นชื่นชมอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่นกยูงรำแพนขน ช่างเป็นอะไรที่งดงามเสียจริง

แนะนำตัวละคร
กาตัวหนึ่งไม่ชอบใจขนสีดำของตัวเอง เพราะมันมักจะถูกล้อว่าเป็นกาดำ น่าอัปลักษณ์ มันจึงอยากจะมีขนที่งดงามเช่นเดียวกับนกยูงที่ถูกคนอื่นชื่นชมอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่นกยูงรำแพนขน ช่างเป็นอะไรที่งดงามเสียจริง
วันหนึ่งเจ้ากาจึงคิดแปลงโฉมของตนโดยเก็บขนหางที่นกยูงสลัดทิ้งมาเสียบแซมกับขนของตน มันบินอวดพวกกาด้วยกันและพูดเยาะเย้ยว่า
กา
กา

ดูขนของข้าสิ ทั้งแวววาวและมีสีสันสวยงามกว่าขนดำปี๋ของพวกเจ้าซะอีก

กา
กา

ข้าไม่อยากอยู่กับกาดำอย่างพวกเจ้าหรอกนะ เพราะข้าจะไปอยู่กับฝูงนกยูงที่มีขนที่งดงามเหมือนกัน

จากนั้นกาก็ผละจากฝูงของตนเข้าไปอาศัยอยู่กับฝูงนกยูง แต่พวกนกยูงกลับไม่พอใจที่มันเข้ามาอาศัยอยู่ในฝูงอย่างไม่เจียมตัว พวกนกยูงจึงรุมจิกตีจนขนหลุดร่วงพร้อมกับไล่ตะเพิด
นกยูง
นกยูง

หน็อยแน่  คิดอยากจะเป็นนกยูงอย่างพวกเรา ช่างไม่เจียมตัวจริง ๆ ไปให้พ้นนะ!

กา
กา

ช้าก่อน! ดูนี่สิ ข้าก็มีขนที่งดงามเหมือนกับพวกท่านเลยนะ

เจ้ากาพยายามคาบขนนกยูงที่ร่วงตามพื้นขึ้นมาอ้างว่าเป็นขนของตน
นกยูง
นกยูง

เจ้าไม่ใช่นกยูง เพราะเจ้าคือกาดำ! รีบออกไปให้พ้น ไม่อย่างนั้นพวกข้าจะรุมจิกเจ้าอีก!

กาต้องบินซมซานกลับไปหาพวกพ้องด้วยความผิดหวัง และหวังว่าฝูงของมันจะช่วยปลอบใจ แต่ฝูงกาที่เคยถูกมันเยาะเย้ยจึงหัวเราะและไม่ยอมให้อยู่ด้วย เจ้ากาหลงตัวเองจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ม้า
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“จงพอใจในสิ่งที่ตนมี”

ณ หมู่บ้าน ริมชายป่าแห่งหนึ่ง มีบ้านหลังหนึ่งของชาวนา บ้านหลังนี้มักจะมีหนูอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเจ้าของบ้านจึงได้นำแมวมาเลี้ยงไว้หลายตัวเ จ้าแมวเหล่านั้นได้วิ่งไล่จับหนูกินทุกวันจนจำนวนหนูในบ้านลดลงไปมากอยู่มาวันหนึ่งเจ้าหนูทั้งหลายจึงได้ปรึกษากันว่า

ณ กระท่อมเล็กๆท้ายหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้มีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ครอบครัวนี้มีสมาชิกทั้งหมด 4 คนประกอบไปด้วย พ่อ ลูกชายคนโต ลูกชายคนกลาง และ ลูกชายคนเล็ก วันหนึ่งพ่อของพวกเขาได้ล้มป่วยลงอย่างกระทันหันและด้วยความชราของผู้เป็นบิดานั้นทำให้เขารับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าตนจะอยู่ดูแลลูกได้อีกไม่นานเขาเลยตัดสินใจที่จะเรียกลูกชายทั้งสามของเขามาอยู่รอบๆตัวของเขาเพื่อที่จะพูดสั่งเสียก่อนที่เขาจะจากไปหลังจากที่ลูกชายทั้งสามของเขามาครบแล้วผู้เป็นพ่อก็ไม่รีรอที่จะเอ่ยกับลูกชายทั้งสามของเขาว่า

เจ้าลาตัวน้อยสีน้ำตาลเดินโซเซตรงมาเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย ในสภาพเนื้อตัวมอมแมมซึ่งเต็มไปด้วยดินโคลน ในช่วงของฤดูแล้งที่ไม่มีสายฝนโปรยปรายลงมาจากฟ้า แม้แต่หญ้าสักต้นก็หาได้หายาก หลังจากที่เจ้าลาน้อยไม่ได้กินอะไรมาหลายวันและแล้วมันก็พบกับคอกม้าซึ่งในนี้มีม้าสีขาวตัวใหญ่ยืนอยู่มันดูสูงสง่ามาก ดูแล้วช่างแตกต่างกันมากจากสภาพของเจ้าลาในตอนนี้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีไก่และลาเป็นเพื่อนรักกันมานาน ทั้งคู่มักจะออกมาหากินที่ป่าด้วยกันอยู่เป็นประจำจนไม่คิดว่าจะมีอันตรายใด ๆที่จะทำให้พวกมันหวาดกลัวได้ วันหนึ่งในวันหนึ่งขณะที่ไก่และลากำลังออกหาอาหารอยู่ด้วยกันอย่างเพลิดเพลินนั้นได้มีราชสีห์ตัวหนึ่งซึ่งมันก็ก็จ้องที่จะมาล่าไก่และลาเป็นอาหารมานานแล้ว มันจึงได้คิดอุบายขึ้น โดยได้ตะโกนร้องออกมาดัง ๆว่า

กาลครั้งหนึ่งในป่าที่หนาทึบแห่งหนึ่ง ได้มีนกฮูกและช้างซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากอาศัยอยู่ ทั้งสองได้แบ่งปันความทุกข์ความสุขให้แก่กันและกัน จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่เสมอ

มีฝูงหมาป่าหิวโซอยู่ฝูงหนึ่งพวกมันไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วพวกมันจึงตัดสินใจเดินไปที่แม่น้ำเพื่อที่จะดื่มน้ำหวังว่าการดื่มน้ำจะช่วยบรรเทาความหิวของพวกมันได้บ้าง แต่แล้วพวกมันก็ได้พบเข้ากับหนังสัตว์อย่างดีจำนวนหนึ่งที่จมอยู่ใต้ก้นแม่น้ำซึ่งคนฟอกหนังได้นำมาแช่เอาไว้ หนังสัตว์พวกนี้นับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศสำหรับหมาป่าที่กำลังหิวโซแต่ทว่าแม่น้ำบริเวณนั้นลึกเกินไปที่พวกมันจะเอื้อมลงไปถึงหนังสัตว์ได้ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้หมาป่าตัวหนึ่งในฝูงก็ได้เอ่ยขึ้นว่า

ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ในวันที่ท้องฟ้าโปร่งใส อากาศเย็นสบาย ราชสีห์ตัวใหญ่ มองดูแล้วช่างสมกับเป็นเจ้าแห่งป่า น่าเกรงขามยิ่งนัก มันกำลังนอนหลับนิ่งเงียบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งในขณะเดียวกัน ก็มีเจ้าหนูตัวน้อย ได้ออกมาวิ่งเล่นหาอาหารกินในบริเวณ

ราชสีห์ชราตัวหนึ่ง เมื่อครั้งที่ยังหนุ่ม มันเคยเป็นที่ยำเกรงของสัตว์ทุกตัวในป่า แต่มาวันนี้ เมื่อแก่ตัวไร้เรี่ยวแรง มันได้แต่นอนอยู่ในถ้ำรอความตายไปวัน ๆ