กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ บ้านชาวนาแห่งหนึ่ง ได้มีเจ้าแมวและครอบครัวของหนูอาศัยอยู่ในบ้านชาวนาหลังเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่เจ้าแมวถูกเลี้ยงอย่างสุขสบายแต่พวกหนูต้องอาศัยอยู่อย่างหวาดกลัวเขี้ยวเล็บอันแหลมของเจ้าแมวที่ชาวนาเลี้ยงไว้มาตลอดเวลา
พ่อหนู
มันถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องถูกปลดปล่อยจากความหวาดกลัวนี้!!
พ่อหนูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงถึงการมีความหวัง
พ่อหนู
พวกเราต้องอยู่กันแบบหวาดกลัวเจ้าแมวนั่น มานานแล้ววันนี้เราต้องมาคิดช่วยกันว่าจะหาทางที่จะจัดการกับเจ้าแมวนั่นได้อย่างไรดี
หนูพี่ชาย
ถ้าอย่างนั้นเราต้องหาวิธีที่จะต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าแมวนั่นกำลังอยู่ที่ไหนหรืออยู่ใกล้เราแค่ไหน เพื่อที่เราจะได้หลบหนีได้ทัน
พ่อหนู
ดีๆเห็นด้วยเป็นแผนที่ยอดเยี่ยมไปเลย
พ่อหนูกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชม
พ่อหนู
ว่าแต่พวกเราจะรู้ได้ด้วยวิธีไหนกันล่ะ
หลังจากที่ช่วยกันวางแผนจนผ่านมาครึ่งวันแล้วแต่ก็ยังนึกแผนการที่จะจัดการกับเจ้าแมวไม่ออกเสียที พ่อหนูจึงได้เอ่ยถามสมาชิกในครอบครัวตัวอื่นบ้างว่า
พ่อหนู
นี่ก็ผ่านมาครึ่งวันแล้วเรายังคิดแผนการจัดการกับเจ้าแมวนั้นและป้องกันครอบครัวเราจากคมเขี้ยวของเจ้าแมวนั่นไม่ได้เลยหากใครมีความคิดดีๆ ก็เสนอขึ้นมาได้เลยนะ
ครอบครัวหนูได้ยินดังนั้นจึงเร่งช่วยกันคิดหาวิธีจนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่จนลูกชายคนเล็กได้กล่าวขึ้นว่า
หนูน้องชาย
ข้ามีความคิดดีๆแล้วมันเป็นแผนที่ง่ายมากๆเลยหล่ะ
หนูน้องชาย
เราควรที่จะหากระพรวนซักลูกมาแขวนคอเจ้าแมวนั่นไว้ เพราะเวลาที่เสียงกระดิ่งนั้นดังขึ้นเราจะได้รู้ว่าศัตรูนั้นเข้ามาใกล้พวกเราแล้วยังไงล่ะ
โอ้ช่างเป็นความคิดที่ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก
ครอบครัวหนูเอ่ยปากชมลูกชายคนเล็กอย่างชื่นชมเพราะไม่เคยมีใครคิดแผนแบบนี้ได้มาก่อน
แต่การชื่นชมนั้นกลับถูกขัดขึ้น ด้วยน้ำเสียงของหนูพี่ชายตัวหนึ่งในกลุ่ม
หนูพี่ชาย
เป็นความคิดที่ดีก็จริงน้องชาย แต่ใครกันล่ะที่จะนำกระพรวนไปติดไว้ที่คอของเจ้าแมวนั่นหรือว่าเจ้าจะไปทำเอง
ครอบครัวหนูได้แต่นิ่งเงียบไปไม่มีใครออกความคิดเห็นอีกเลย เพราะไม่มีใครกล้าที่จะนำกระดิ่งไปแขวนไว้ที่คอของเจ้าแมวตัวนั้น
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้แผนที่คิดมาทั้งหมดไม่สำเร็จและทำให้ครอบครัวของพวกหนูนั้นต้องใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวต่อไป